20 เมษายน 2562, 16:54น. อากาศร้อนจัดเช่นนี้ จะร้อนยิ่งกว่าเมื่อคุณเปิดประตูเข้ารถที่จอดไว้กลางแจ้ง เพราะภายในรถอากาศไม่ได้ถ่ายเท อุณหภูมิจะสะสมสูงขึ้นไม่ต่างกับเตาอบ จึงไม่แปลกที่เราเข้าไปนั่งแล้วรู้สึกร้อนไปหมด ทั้งเบาะ พวงมาลัย กระเป๋า ฯลฯ จึงขอแนะวิธีการคลายร้อนให้รถของคุณตามลำดับ ดังนี้ 1. ใช้หลักความดันไล่อากาศ ก่อนออกรถ ในขณะที่เปิดรถเข้าไปใหม่ๆ อุณหภูมิภายในรถจะสูงกว่าด้านนอก ให้เปิดกระจกฝั่งคนนั่งหน้าซ้ายลง แล้วเปิดประตูฝั่งคนขับออกไปโดยดันเปิด-ปิด 5 รอบ จะทำให้ความดันภายในรถลดลง อากาศภายนอกจะเข้ามาแทนที่ในฝั่งกระจกซ้าย ส่วนความร้อนก็จะออกไปทางฝั่งประตูขวา จะรู้สึกได้ทันมีว่าอุณหภูมิลดฮวบลงมาใกล้เคียงกับภายนอก ลองชมคลิปตัวอย่างที่ชาวญี่ปุ่นทำไว้ 2. ขับรถเปิดกระจกสัก 10 วินาที แม้อุณหภูมิในรถจะใกล้เคียงกับภายนอกแล้ว แต่วัสดุต่างๆภายในรถจะยังคลายความร้อนระอุออกมาเรื่อยๆ ให้คุณเปิดกระจกรถทุกบาน แล้วขับรถออกมา เปิดทิ้งไว้แค่เพียง 10 วินาที ลมจะหมุนเวียนได้อย่างเต็มที่ ไล่ความร้อนสะสมออกจนแทบหมด 3. เปิดแอร์จากเบาไปแรง การเปิดแอร์แรงๆในทันทีที่อุณหภูมิภายในรถสะสมมากๆ นอกจากคอมแอร์จะต้องทำงานอย่างหนักทำให้สึกหรอเร็วแล้ว ยังไม่ได้ทำให้อุณหภูมิเย็นเร็วไปกว่าการทำ 2 ขั้นตอนแรกก่อนด้วย การเปิดแอร์แรงในทันที ก็เหมือนนักวิ่งที่ออกตัววิ่งเร็วๆทันทีโดยไม่ได้วอร์มร่างกาย ทำให้เหนื่อยและบาดเจ็บได้ง่าย เพราะรถที่จอดตากแดด อุณหภูมิของอุปกรณ์การทำความเย็นก็ร้อนตามเช่นกัน ต้องให้เวลากันหน่อย 4.
รูปแบบการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าตามหลักสากล แบ่งออกเป็น 4 Mode ตามประเภทอุปกรณ์และกระแสไฟที่ใช้ชาร์จ ดังนี้ Mode 1 เสียบชาร์จจากเต้ารับไฟในบ้าน (ไฟกระแสสลับ AC) เข้ากับตัวรถโดยตรง (บนรถมี On-board charger แปลงเป็นกระแสตรง DC) โดยไม่มีอุปกรณ์ควบคุมกระแสไฟหรือป้องกันไฟรั่ว และจะมีกระแสไฟฟ้าไหลในสายตลอด ทำให้ไม่มีมาตรการความปลอดภัยที่เพียงพอ ค่ายรถ EV แทบทั้งหมดจึงไม่ใช้รูปแบบการชาร์จนี้แล้ว Mode 2 เสียบชาร์จจากเต้ารับไฟในบ้าน (ไฟกระแสสลับ AC) เข้ากับตัวรถ โดยมี In Cable Control Box เป็นตัวควบคุมกระแสไฟที่เข้ารถ โดยปัจจุบันกำหนดให้ต่ำ ไม่เกิน 10-16A เท่านั้น (กำลังไฟไม่เกิน 2. 4kW) ซึ่งใช้เวลาชาร์จค่อนข้างนาน แต่มีความปลอดภัยมากกว่า Mode 1 ผู้จำหน่ายรถ EV ในไทยมักจะแถมอุปกรณ์นี้มาให้ โดยเรียกว่า Emergency Charge มีจุดประสงค์ให้พกติดรถไว้เสียบชาร์จเมื่อคราวจำเป็นเท่านั้น เช่น ไฟฟ้าไม่เพียงพอขณะไปต่างจังหวัด และห้ามเสียบทิ้งไว้นานๆโดยไม่มีคนเฝ้า เนื่องปลั๊กไฟทั่วไปในไทยมีขนาดสายไฟที่เล็ก (2.
รถต้อง"วิ่ง"ไปเรื่อยๆ ข้อนี้สำคัญมาก เพราะคอยล์แอร์ต้องมีลมช่วยพัดระบายความร้อน แม้จะมีพัดลมทำหน้าที่นั้นโดยตรงอยู่แล้ว แต่ลมที่พัดแรงๆที่เข้ามาระหว่างรถวิ่งนั้นย่อม"แรงกว่า"แรงของพัดลมเสียอีก โดยเพราะรถรุ่นเก่าๆหรือระบบแอร์ที่มีอายุมากหน่อย ประสิทธิภาพการทำความเย็นก็จะลดลง พัดลมก็แรงน้อยลง ส่วนรถใหม่ๆอาจไม่เห็นความต่างส่วนนี้มากนัก 5.