โรค ต้อ ทางตามีหลากหลายชนิด 4 โรคต้อที่พบบ่อยๆที่เรารู้จักคุ้นเคย คือ ต้อลม ต้อเนื้อ ต้อกระจก และ ต้อหิน ซึ่งมีอาการแตกต่างกันในแต่ละชื่อโรค โรคต้อบางชนิดถ้าปล่อยไว้โดยไม่ได้รับการดูแลหรือรักษาอาจอันตรายถึงขั้นทำให้สูญเสียการมองเห็นได้ เราควรรู้เท่าทันโรคต้อทั้ง 4 เพื่อรับมือและสามารถรักษาดวงตาของเราให้ปลอดภัย พญ.
โรคต้อกระจกสามารถใช้ยาหยอดรักษาให้หายได้หรือไม่ ตอบ ปัจจุบันยังไม่มียาหยอดตา หรือยากินที่สามารถให้การรักษาโรคต้อกระจกให้หายขาดได้ การรักษาที่ได้ผลคือการผ่าตัด (หรืออาจเรียกว่าลอกต้อ) เอาเลนส์ตาธรรมชาติที่ขุ่นเป็นต้อกระจกออก และใส่เลนส์แก้วตาเทียมเข้าไปแทนที่ โดยวิธีการเอาเลนส์ตาที่เป็นต้อกระจกออกอาจใช้วิธีดันออก หรือใช้คลื่นเสียงความถี่สูง (ultrasound) สลายออกก็ได้ แต่ยังไม่มีการใช้แสงเลเซอร์ในการผ่าตัดโรคต้อกระจก 6. โรคต้อหิน ต้องรักษาโดยการผ่าตัดเสมอไปหรือไม่ และการผ่าตัดทำเพื่อวัตถุประสงค์ใด ตอบ โรคต้อหินมีหลายชนิด ดังนั้นการรักษาจึงมีหลากหลายวิธี เช่น การใช้ยาหยลอดตาลดความดันตา ยากินลดความดันตา การใช้แสงเลเซอร์ และการผ่าตัดโดยในกรณีที่ต้องรักษาด้วยการผ่าตัด ไม่ใช่การผ่าเอาหินหรือของแข็งใด ๆ ออกจากตา แต่เป็นการผ่าตัดเพื่อเปิดทางระบายน้ำเลี้ยงในลูกตา (aqueous) ออกจากลูกตา ทำให้ความดันตาลดลงและไม่เป็นอันตรายต่อขั้วประสาทตา 7.
กระจกตา กระจกตามีลักษณะพิเศษหลายอย่าง ได้แก่ 1. ไม่มีหลอดเลือด ( Avascular) ซึ่งเป็นทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือทำให้กระจกตาใสอยู่เสมอ (ถ้าขุ่น จะทำให้ตามัว) ส่วนข้อเสียคือ ถ้ามีการ อักเสบติดเชื้อ การหายของแผลยากกว่าเนื้อเยื่ออื่นๆ เพราะไม่มีหลอดเลือดนำเม็ดเลือดขาวมาช่วยขจัดเชื้อโรค 2. มีความใสอยู่เสมอ เนื่องจากการเรียงตัวของเนื้อเยื่อกระจกตาเป็นไปอย่างสม่ำ เสมอเป็นระเบียบ 3. ตัวกระจกตาจะอยู่ในภาวะแห้ง ( Dehydrate) ถ้าอยู่ในภาวะอุ้มน้ำ กระจกตาจะบวมทำให้ตามัวลง 4. มีปลายประสาทมาเลี้ยงกระจกตา มากกว่าในเนื้อเยื่ออื่นๆในร่างกาย กระจกตาจึงไวต่อความรู้สึก การสัมผัส ความร้อน สารเคมี และ/หรือผง แม้ขนาดเล็กนิดเดียวเมื่อกระทบกระจกตา จะส่งผลให้รู้สึกเจ็บปวด เคืองตาอย่างมาก กระจกตาแบ่งเป็น 5 ชั้น คือ 1. เนื้อเยื่อบุผิว ( Epithelium) 2. Bowman's membrane 3. เนื้อเยื่อโครง ( Stroma) 4. Descemet's 5.
อาการตามัว อาจมีสาเหตุอื่น นอกจากต้อกระจก ควรซักถามอาการ และ ตรวจดูให้แน่ใจว่าไม่ใช่เกิดจากภาวะร้ายแรง เช่น ต้อหิน ดูแผนภูมิประกอบ 2. การรักษาต้อกระจกมีอยู่วิธีอยู่วิธีเดียว คือ การผ่าตัดเอาแก้วตาออก (lens extraction) ไม่มียาที่ใช้กินหรือหยอดแก้อาการของต้อกระจกได้ 3. ต้อกระจกที่พบในคนอายุน้อย หรือวัยกลางคนอาจมีสาเหตุจากเบาหวาน หรืออื่น ๆ ได้ ควรแนะนำไปตรวจที่โรงพยาบาล 4. ผู้ป่วยที่เป็นต้อกระจกอย่าไปรักษาตามแบบพื้นบ้านซึ่งบางคนยังนิยม เพราะกลัวผ่าตัดหรือกลัวเสียค่าใช้จ่ายมาก หมอพื้นบ้านจะทำการเขี่ยให้แก้วตาหลุดไปด้านหลังของลูกตา แสงก็จะผ่านเข้าไปในตาได้ ทำให้มองเห็นได้ทันที แต่ไม่ช้าจะภาวะแทรกซ้อนตามมาเช่น ต้อหิน เลือดออกในวุ้นลูกตา หรือประสาทตาเสื่อมทำให้ตาบอดอย่างถาวรเป็นต้อกระจก อย่าเสี่ยงผ่าตัดไปรักษากับหมอพื้นบ้านอาจทำให้ตาบอดสนิท
7 คำถาม ตาต้อ (หมอชาวบ้าน) คอลัมน์ รักษ์ "ดวงตา" โดย ผศ. นพ. ศักดิ์ชัย วงศกิตติรักษ์ ประธานราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย "ตาต้อ" เป็นกลุ่มของโรคตา "ต้อ" ที่มีลักษณะแตกต่างกัน วันนี้มาทำความรู้จัก "ตาต้อ" ด้วย 7 คำถามต่อไปนี้กันดีกว่า 1.
โดยวิธีการสอดเครื่องมือสลายต้อเข้าไปที่ตัวต้อกระจก ใช้พลังงานความถี่สูงเท่าระดับอัลตราซาวนด์เข้าสลายต้อกระจกจนหมดจึงใส่เลนส์แก้วตาเทียมเข้าไปแทนที่ ไม่ต้องเย็บแผล วิธีผ่าตัดต้อกระจกแบบเปิดแผลกว้าง (Extracapsular Cataract Extraction with Intraocular Lens) วิธีผ่าตัดดั้งเดิมที่ใช้ในกรณีที่ต้อกระจกสุกและแข็งมาก ๆ จนไม่เหมาะกับการสลายด้วยเครื่อง จักษุแพทย์จะเปิดแผลบริเวณครึ่งบนของลูกตายาวประมาณ 10 มม. เพื่อเอาตัวเลนส์แก้วตาที่เป็นต้อกระจกออก แล้วใส่เลนส์แก้วตาเทียมเข้าไปแทนที่แล้วจึง เย็บปิดแผลด้วยไหม โดย นพ. สมบูรณ์ ปัญญากรณ์ จักษุแพทย์
อ่านแล้ว 2, 266 ครั้ง ตั้งแต่วันที่ 14/05/2564 อ่านล่าสุด 1 วันที่แล้ว Scan เพื่ออ่านบนมือถือของคุณ ต้อกระจก เป็นปัญหาทางการมองเห็นที่สำคัญและนำไปสู่ภาวะตาบอดได้หากไม่ได้รักษา องค์การอนามัยโลกประมาณว่า 94 ล้านคนทั่วโลก มีปัญหาต้อกระจกที่รุนแรงปานกลางจนถึงขั้นประสบปัญหาตาบอด สำหรับประเทศไทยมีการสำรวจสถานการณ์โรคตาระหว่างปี พ. ศ. 2546 – 2560 พบว่า มีผู้ป่วยตาบอดร้อยละ 0. 59 สายตาเลือนรางร้อยละ 1. 57 โดยมีสาเหตุมาจากต้อกระจก ต้อหิน ภาวะตาบอดในเด็ก ภาวะเบาหวานขึ้นจอตา และกระจกตาขุ่น ซึ่งจากสาเหตุทั้งหมด "ต้อกระจก" เป็นสาเหตุที่พบมากที่สุด อย่างไรก็ตามผู้ป่วยสามารถรักษาให้หายได้ ภาพจาก: ต้อกระจก คือ โรคที่เลนส์แก้วตามีความขุ่นเกิดขึ้น โดยปกติแล้วเลนส์แก้วตาจะมีลักษณะเหลืองใส แต่เมื่อเลนส์ตาขุ่นมากขึ้นจะบังแสง ทำให้แสงเข้าสู่ด้านในของดวงตาและไปกระทบที่จอประสาทตาได้ไม่เต็มที่ ส่งผลให้ภาพที่เห็นเบลอ ไม่ชัดเจน บางครั้งผู้ป่วยอาจมาพบแพทย์ด้วยอาการที่เหมือนเห็นหมอกบังตา ส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 80. 00 เกิดจากความเสื่อมตามอายุ โดยเฉพาะผู้ที่อายุ 50 ปีขึ้นไป เรียกว่า ต้อกระจกในผู้สูงอายุ (senile cataract) อีกส่วนหนึ่งประมาณร้อยละ 20.
แพทย์จะสอดเครื่องมือสลายต้อเข้าไปที่ตัวต้อกระจก ใช้พลังงานความถี่สูงเท่าระดับอัลตราซาวนด์เข้าสลายต้อกระจกจนหมดจึงใส่เลนส์แก้วตาเทียมเข้าไปแทนที่ แผลมีขนาดเล็กมาก ไม่ต้องเย็บแผลในคนไข้ส่วนใหญ่ 2) วิธีผ่าตัดต้อกระจกแบบเปิดแผลกว้าง (Extracapsular Cataract Extraction with Intraocular Lens) วิธีผ่าตัดดั้งเดิมที่ใช้ในกรณีที่ต้อกระจกสุกและแข็งมาก ๆ จนไม่เหมาะกับการสลายด้วยเครื่อง จักษุแพทย์จะเปิดแผลบริเวณครึ่งบนของลูกตายาวประมาณ 10 มม. เพื่อเอาตัวเลนส์แก้วตาที่เป็นต้อกระจกออก แล้วใส่เลนส์แก้วตาเทียมเข้าไปแทนที่แล้วจึงเย็บปิดแผลด้วยไหมเย็บแผล ป้องกันการเกิดต้อกระจก สวมแว่นกันแดดเพื่อป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลต รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะอาหารที่มีวิตามินเอ อี และซี ช่วยบำรุงสายตา อย่างไรก็ดีการรับประทานวิตามินเสริมยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าลดความเสี่ยงการเกิดต้อกระจกได้ แนะนำควรตรวจสายตาเป็นประจำทุกปี โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป