[9] ข้อมูลจากการตีความ จารึกพระเจ้าอโศก ระบุว่าพระองค์เปลี่ยนศาสนาเป็น ศาสนาพุทธ [8] หลังต้องเผชิญกับการล้มตายครั้งใหญ่ใน สงครามกลิงคะ ซึ่งมีรายงานเสียชีวิตอยู่ที่ราว 100, 000 รายเป็นอย่างต้ำ [10] จักรพรรดิอโศกเป็นที่จดจำในฐานผู้ตั้ง อโศกสตมภ์ และเผยแผ่จารึกของพระองค์ [11] และจากการส่ง พระสงฆ์ ไปยัง ศรีลังกา และ เอเชียกลาง [7] รวมถึงการสร้างวิหารชึ้นเพื่อบูชาและเป็นอนุสรณ์ต่อช่วงชีวิตสำคัญของ พระโคตมพุทธเจ้า [12] อ้างอิง [ แก้] ↑ Lars Fogelin (1 April 2015). An Archaeological History of Indian Buddhism. Oxford University Press. pp. 81–. ISBN 978-0-19-994823-9. ↑ Fred Kleiner (1 January 2015). Gardner's Art through the Ages: A Global History. Cengage Learning. pp. 474–. ISBN 978-1-305-54484-0. ↑ 3. 0 3. 1 Upinder Singh 2008, p. 331. ↑ In his contemporary Maski Minor Rock Edict his name is written in the Brahmi script as Devanampriya Asoka. Inscriptions of Asoka. New Edition by E. Hultzsch (ภาษาสันสกฤต). 1925. pp. 174–175. ↑ Chandra, Amulya (14 May 2015). "Ashoka | biography – emperor of India".. เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 21 August 2015.
วันที่ 25 ก. ย. 2554 เวลา 08:23 น. โดย... วรธาร ทัดแก้ว เมื่อต้นเดือน ก. บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) ได้จัดสัมมนาเล็กๆ เกี่ยวกับวิทยานิพนธ์ "ดีและดีเด่น" ระดับปริญญาโทและเอกของนิสิต มจร หนึ่งในนั้นมีวิทยานิพนธ์ "ดีเด่น" ระดับปริญญาโท สาขาพุทธศาสตร์และศิลปะแห่งชีวิต เรื่อง "การศึกษาความเจริญและความเสื่อมของแคว้นในชมพูทวีป สมัยพุทธกาลตามหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา" ของ นพ.
สังคมชมพูทวีปสมัยก่อนพระพุทธเจ้า ลักษณะสังคมชมพูทวีปสมัยก่อนพระพุทธเจ้าแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะคือ ลักษณะทางการเมืองการปกครอง และลักษณะสังคมชมพูทวีป ดังนี้คือ 1. ลักษณะการเมืองการปกครองของชมพูทวีป เป็นลักษณะการปกครองคล้ายรูปแบบการปกครองของประเทศไทย ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ซึ่งการปกครองของชมพูทวีปแบ่งการปกครองออกเป็น ระบบ คือ 1. 1 รูปแบบการปกครองส่วนกลาง เรียกว่า " มัชฌิมชนบท " เปรียบเสมือนการปกครองส่วนกลางของประเทศไทย 1. 2 รูปแบบการปกครองส่วนหัวเมืองชั้นนอก " ปัจจันตชนบท " เปรียบเสมือนการปกครองส่วนภูมิภาคของประเทศไทย ชมพูทวีป ในปัจจุบันได้แก่ อาณาบริเวณที่เป็นประเทศอินเดีย ประเทศปากีสถาน ประเทศเนปาล และประเทศบังคลาเทศ การปกครอง จะแบ่งเป็น นครรัฐ หรือแคว้นต่าง ๆ ดังนี้ แคว้น เมืองหลวง ชื่อปัจจุบัน ที่ตั้งปัจจุบัน อังคะ 2. มคธ 3. กาสี 4. โกศล 5. วัชชี 6. มัลละ 7. เจตี้ 8. วังสะ 9. กุรุ 10. ปัญจาละ 11. มัจฉะ 12. สุรเสนะ 13. อัสสกะ 14. อวันตี 15. คันธาระ 16. กัมโพชะ 17. สักกะ 18. โกลิยะ 19. ภัคคะ 20. วิเทหะ 21.
ข้ามไปเนื้อหา จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี พระเจ้าอโศกมหาราช จักรพรรดิ [1] [2] จักรพรรดิแห่งโมริยะ องค์ที่ 3 ครองราชย์ พ. ศ. 270–311 [3] ราชาภิเษก พ. 275 [3] ก่อนหน้า พระเจ้าพินทุสาร ถัดไป พระเจ้าทศรถ อัครมเหสี พระนางอสันธิมิตรา พระสนม 4 นาง พระราชบุตร 11 พระองค์ ราชวงศ์ โมริยะ พระราชบิดา พระเจ้าพินทุสาร พระราชมารดา พระนางสุภัทรางคี ประสูติ พ. 239 ณ ปัฏนา สวรรคต พ. 311 (ชันษา 72) ณ ปัฏนา จักรพรรดิอโศก (; พราหมี: 𑀅𑀲𑁄𑀓, Asoka, [4] IAST: Aśoka) หรือ อโศกมหาราช เป็น จักรพรรดิ แห่ง จักรวรรดิเมารยะ ผู้ปกครองส่วนใหญ่ของ อนุทวีปอินเดีย ตั้งแต่ ป. 268 ถึง 232 ปีก่อน ค.
2 ทำตนให้เป็นตัวอย่าง ในแง่การสอนอาจแบ่งได้เป็น 2 อย่าง คือ (1) สาธิตให้ดูหรือทำให้ดู ดังเมื่อครั้งพระองค์ทรงสั่งให้พระอานนท์ผสมน้ำอุ่น แล้วทรงใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดร่างกายของพระภิกษุรูปหนึ่งที่ป่วยด้วยโรคพุพอง มีหนองไหลเยิ้ม ไม่มีเพื่อนภิกษุดูแล ทรงทำให้ดูเป็นตัวอย่างแล้วตรัสสอนว่า " พวกเธอมาบวชในศาสนาของตถาคต ไม่มีพ่อไม่มีแม่ เมื่อพวกเธอไม่ดูแลกันเองในยามป่วยไข้ แล้วใครจะดูแล " (2) ปฏิบัติตนเป็นแบบอย่าง พระพุทธองค์ทรงเป็นผู้ที่ปฏิบัติพระองค์ให้เป็นแบบอย่างที่ดี จึงได้รับการยกย่องว่า เป็นพระบรมครู เป็นศาสดาเอกในโลก 3.
รัฐศาสตร์ตามแนวพระพุทธศาสนา. ใน [3] พระครูโสภณปริยัติสุธี (ศรีบรรดร ถิรธมฺโม). ทฤษฎีรัฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก. หน้า ๒๘-๓๐. [4] ฤทธิชัย [5] ปรีชา ช้างขวัญยืน. ทรรศนะทางการเมืองของพระพุทธศาสนา. หน้า ๑๐. [6] เรื่องเดียวกัน. หน้า ๓๕-๓๖. [7]
พุทธกิจด้านการเมือง โดยเห็นว่าพระพุทธองค์มิได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับกิจการภายในรัฐแต่อย่างใด ทว่าทรงเข้าไปช่วยแก้ปัญหาและเสนอแนะหลักในการปกครองที่ช่วยทำให้รัฐมีความมั่นคงและสามารถปกครองให้ประชาชนมีความสงบสุข ๒. พุทธกิจด้านการบริหาร โดยเทียบกับภาษาบาลีว่า ปริหร เป็นคำที่แสดงความหมายถึงลักษณะของการปกครองว่า เป็นการนำสังคม หรือหมู่คณะให้ดำเนินไปโดยสมบูรณ์ นำหมู่คณะให้พัฒนาไปพร้อมกัน ปริหร อาจบ่งความหมายถึงการแบ่งงาน การกระจายอำนาจ หรือการที่สมาชิกในสังคมมีส่วนร่วมในการปกครองหมู่คณะก็ได้ ๓.
ด้านการปกครอง ระบบการปกครองของแคว้นต่าง ๆ แบ่งเป็น 2 แบบ คือ 2. 1 การปกครองแบบราชาธิปไตยหรือสมบูรณาญาสิทธิราช หมายถึงการปกครองที่มีกษัตริย์เป็นประมุขมีอำนาจสิทธิ์ขาดในการปกครอง แต่มีปุโรหิตเป็นที่ปรึกษาและยึดอุดมการณ์ ที่จะปกครองโดยธรรมมีรัชทายาทสืบสันติวงค์ แคว้นที่ปกครองด้วยระบบนี้คือ แคว้นมคธ แคว้นโกศล แคว้นอวันตี เป็นต้น 2. 2 การปกครองแบบสามัคคีธรรม เป็นการปกครองที่จัดทำโดยรัฐสภา กษัตริย์ไม่มีอำนาจสิทธิ์ขาด ไม่มีตำแหน่งรัชทายาท มีประมุขรัฐสภาดำรงตำแหน่งตามระยะเวลาที่กำหนดหรือมีคณะกรรมการบริหารซึ่ง เลือกจากหัวหน้าครอบครัวใหญ่ ๆ ในชนบท(เมือง) นิคม(อำเภอ) คาม(ตำบล)ลักษณะการปกครองแบบนี้คล้ายกับการปกครองแบบประชาธิปไตยในปัจจุบัน แคว้นที่ปกครองแบบนี้เช่น แคว้นวัชชี 3.
พุทธัตตถจริยา หน้าที่ที่พระพุทธองค์ทรงกระทำในฐานะที่เป็นพระพุทธเจ้า ความจริงรวมอยู่ในโลกัตตถจริยานั่นเอง แต่ที่แยกพูดอีกต่างหากก็เพื่อเน้นว่า หน้าที่บางอย่างพระพุทธเจ้าเท่านั้นทรงทำได้ พุทธะอื่นๆ ( คือปัจเจกพุทธะและอนุพุทธะ)ไม่สามารถทำได้ พุทธจริยามีมากมายเช่น 3. 1) ช่วยสรรพสัตว์ข้ามห้วงทุกข์ พระองค์ทรงบำเพ็ญบารมีมายาวนาน เมื่อยังเป็นพระโพธิสัตว์ก็ตั้งพระปณิธานจะช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้พ้นจากความทุกข์ เมื่อได้ตรัสรู้แล้วทรงทำหน้าที่นี้ตลอดพระชนม์ชีพ 3. 2) ปูพื้นฐานแห่งกุศลธรรม หรืออุปนิสัยที่ดีในภายหน้า ในกรณีที่ทรงแนะหรือฝึกฝนบางคนไม่ได้ เพราะเขามีความหยาบช้าหนาแน่นไปด้วยโมหะอวิชชาเกินกว่าจะเข้าถึงธรรมได้พระองค์ไม่ทรงทอดทิ้งพยายามสั่งสอนเพื่อให้เขามีอุปนิสัยปัจจัยที่ดีในภายภาคหน้า ดังกรณีทรงบวชให้พระเทวทัต ทั้งๆที่รู้ด้วยพระญาณว่าเทวทัตบวชแล้วจักทำสังฆเภท ( สร้างความแตกแยกในหมู่สงฆ์) 3. 3) ช่วยปิดทางอบาย คือปิดกั้นมิให้คนบางประเภทถลำลึกลงสู่ทางแห่งความเสื่อมฉิบหาย เช่น เสด็จไปโปรดโจรองคุลิมาล ก่อนที่จะพบมารดาระหว่างทางและก่อนจะกระทำมาตุฆาต ( ฆ่ามารดา) อันเป็นกรรมหนัก 3. 4) ทรงบัญญัติพระวินัยเพื่อความดำรงมั่นแห่งพระศาสนา พระวินัยถือว่าเป็นรากแก้วแห่งพระพุทธศาสนา เมื่อพระสงฆ์บางรูปกระทำสิ่งที่ไม่สมควรแก่สมณะ เป็นที่ตำหนิติเตียนของชาวโลก พระองค์ทรงวางเป็นข้อบังคับห้ามทำเช่นนั้นอีกต่อไป พระวินัยที่ทรงบัญญัติขึ้นเป็นเครื่องควบคุมสงฆ์ให้มีความสงบเรียบร้อย เป็นที่เลื่อมใสของประชาชน และเป็นเครื่องจรรโลงพระพุทธศาสนาให้มั่นคงถาวร 3.